ดร.เพิก เลิศวังพง ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า เนื่องจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังแรงขึ้น ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักหลายพื้นที่ และมีฝนตกหนักมากบางแห่ง ระหว่างวันที่ 17 พ.ย. 68 - ปัจจุบัน ส่งผลทำให้เกิดน้ำท่วมน้ำขังครอบคลุม 7 จังหวัด สุราษฎร์ธานี,สงขลา, นครศรีธรรมราช ,พัทลุง,ตรัง,ชุมพร, และ สตูล
"จากการสำรวจเบื้องต้นมีพื้นที่สวนยางที่ได้รับผลกระทบไม่ต่ำกว่า 13 ล้านไร่ ปริมาณผลผลิตยางพาราที่ได้ผลกระทบกว่า 2 หมื่นตัน ซึ่งภาคใต้เป็นแหล่งพื้นที่ปลูกและผลิตยางพาราที่มากที่สุดในประเทศ และเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก คาดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อราคายางในตลาดโลก เนื่องจากสภาพการณ์ฝนตกต่อเนื่องทำให้เกษตรกรไม่สามารถออกไปกรีดยางและทำให้ เครื่องมืออุปกรณ์ในการกรีดยางเสียหาย ด้วยสาเหตุเหล่านี้อาจทำให้ผลผลิตยางขาดตลาดได้"
อย่างไรก็ดีก่อนหน้านี้ ทาง กยท. ได้ให้สำรวจความเสียหาย 7 จังหวัดภาคใต้ พบว่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ทั้งในด้านพื้นที่และปริมาณผลผลิต รองลงมา จังหวัดสงขลา และตามมานครศรีธรรมราช เป็นต้น
ดร.เพิก กล่าวว่า ในขณะนี้คณะผู้บริหารและพนักงานการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ในหลายพื้นที่ทางภาคใต้ อาทิ กยท.เขตภาคใต้ตอนกลาง กยท.จ.พัทลุง กยท.จ.นครศรีธรรมราช กยท.จ.ยะลา กยท.สาขาทุ่งสง กยท.สาขานาบอน กยท.สาขาฉวาง และ กยท.สาขาร่อนพิบูลย์ ร่วมกันจัดทำถุงยังชีพบรรจุเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น นำไปแจกจ่ายแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นและสร้างขวัญกำลังใจแก่เกษตรกรและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วมดังกล่าว
นอกจากนี้ กยท.จ.นราธิวาส ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำ พร้อมสำรวจปริมาณครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบเพื่อเตรียมจัดถุงยังชีพเข้าบรรเทาความเดือดร้อนต่อไป พร้อมยืนยันว่า กยท. จะอยู่เคียงข้างพี่น้องชาวสวนยางให้ข้ามผ่านทุกความยากลำบากไปด้วยกัน โดยจะมีการตรวจสอบความเสียหายพื้นที่สวนยางและดำเนินการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบอีกครั้งหลังน้ำลด
กยท. ขอส่งกำลังใจให้ประชาชนและพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางในพื้นที่ประสบภัยทุกคนขอให้ปลอดภัย และขอให้สถานการณ์คลี่คลายกลับสู่ปกติโดยเร็วที่สุด
ปัจจุบัน กยท. ได้เปิดศูนย์พักพิงและจุดบริการจอดรถแก่ผู้ประสบภัย ซึ่งสามารถเข้ามารับความช่วยเหลือได้ ณ ที่ทำการ กยท. ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ได้แก่ กยท. เขตภาคใต้ตอนกลาง และ กยท. สาขาทุ่งสง (โทร. 0-7541-1032), กยท. สาขาร่อนพิบูลย์ (โทร. 0-7544-1212) และ กยท. สาขาฉวาง (โทร. 0-7548-1130) ในพื้นที่ จ.พัทลุง ได้แก่ กยท.จ.พัทลุง และ กยท. สาขาเมืองพัทลุง (โทร. 0-746-1248), กยท. สาขาบางแก้ว (โทร. 0-7461-0490), กยท. สาขาควนขนุน (โทร. 0-7468-1623), กยท. สาขาป่าบอน (โทร. 0-7484-1540) และศูนย์เรียนรู้ยางพารา จ.พัทลุง (โทร 0-7460-1533)
ทั้งนี้ กยท. เตรียมเปิดศูนย์พักพิง ณ ที่ทำการ กยท. อื่นๆ ในพื้นที่ประสบภัยเพิ่มเติมต่อไป นอกจากนี้ กยท. ได้จัดถุงยังชีพบรรจุน้ำดื่ม อาหาร และของใช้จำเป็น เพื่อมอบแก่ชาวสวนยางผู้ที่ประสบภัยภายใต้งบประมาณโครงการสนับสนุนปัจจัยยังชีพกรณีครัวเรือนเกษตรกรชาวสวนยางประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ รวมทั้งสิ้น 1,410,000 บาท
อย่างไรก็ตาม หลังสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ กยท. จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าสำรวจความเสียหายสวนยางที่ประสบภัยและประเมินระดับความเสียหายของต้นยาง พร้อมให้คำแนะนำแก่เกษตรกรชาวสวนยางอย่างใกล้ชิดเพื่อฟื้นฟูสภาพสวนยางหลังน้ำลด ลดความเสียหายในระยะยาว ตลอดจนมาตรการเยียวยาตามสวัสดิการเพื่อเกษตรกรชาวสวนยาง มาตรา 49 (5) แห่งพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558
โดยกรณีที่สวนยางของเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท. ประสบภัยจนเสียสภาพสวน หรือต้นยางได้รับความเสียหายเกิน 20 ต้น/แปลง จะได้รับเงินช่วยเหลือรายละไม่เกิน 3,000 บาท นอกจากนี้ กยท. ยังมีเงินทุนกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง รายละไม่เกิน 50,000 บาท สำหรับนำไปใช้ปรับปรุงสวนยาง ที่อยู่อาศัย เครื่องมือ รักษาพยาบาลตนเอง ตลอดจนเป็นทุนในการประกอบอาชีพเสริมต่อไป
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ
|