การค้าระหว่างประเทศกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศเตรียมขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 100% เริ่มวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและทิศทางเศรษฐกิจของหลายประเทศ
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระ และผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ ฐานเศรษฐกิจ ว่า มาตรการดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้นจริงสูง แม้ทรัมป์จะเคยกล่าวภายหลังว่า สหรัฐฯ ไม่ได้ทำลายจีน แต่กลับสนับสนุนจีนด้วยซ้ำ ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นในระยะสั้น แต่ท่าทีล่าสุดยังชี้ไปในทิศทางกดดันจีนต่อเนื่อง
แรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังมาตรการภาษี 100% ครั้งนี้ มาจากกรณีที่ จีนควบคุมการส่งออกแร่หายาก (Rare Earth) ที่ผ่านการแปรรูป ซึ่งแร่เหล่านี้จำเป็นต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และจีนถือครองสัดส่วนมากถึง 90% ของตลาดโลก
รศ.ดร.อัทธ์ เตือนว่า มาตรการภาษี 100% จะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามการค้ารอบใหม่ หากไม่มีการเจรจาระหว่างผู้นำทั้งสอง โดยดัชนีชี้วัดสำคัญคือ การประชุมระดับผู้นำที่เกาหลีใต้ปลายเดือนตุลาคม ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าทรัมป์จะเข้าร่วมและพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนแต่อย่างใด
สหรัฐฯ ปัจจุบันเก็บภาษีสินค้าจากจีนแล้วราว 51% หากเพิ่มเป็น 100% เท่ากับเพิ่มภาระภาษีอีกเท่าตัว ซึ่งจะส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรม การบริโภค และเงินเฟ้อในสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้แม้จีนอาจได้รับผลกระทบหนัก แต่จีนได้เตรียมการล่วงหน้า โดยการส่งออกโดยรวมของจีนเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 8% จากการขยายตลาดไปยังเอเชีย อาเซียน แอฟริกา และลาตินอเมริกา แต่การส่งออกไปสหรัฐฯ ในเดือนเดียวกันลดลงถึง 10% ซึ่งการลดลงของการส่งออกจีนไปสหรัฐในครั้งนี้ไม่ได้มาจากภาษีเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงมาตรการที่ซ้ำซ้อน เช่น การเก็บค่าธรรมเนียมเมื่อเรือจีนเข้าเทียบท่าสหรัฐฯ และการแบนสินค้ากลุ่มเซมิคอนดักเตอร์จากจีน
รศ.ดร.อัทธ์ กล่าวอีกว่า หากภาษี 100% มีผลจริงในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ผลกระทบจะเกิดขึ้นใน 3 มิติหลัก ดังนี้
การค้าโลกชะลอตัวจากที่องค์การการค้าโลก(WTO คาดว่าการค้าโลกปี 2568 จะโต 2.4% อาจลดเหลือเพียง 1.5%1.9%, GDP สหรัฐ ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 1.8% อาจลดลงเหลือ 1.0%1.3% ต้นทุนวัตถุดิบจากจีนสูงขึ้น กดดันราคาสินค้าและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐ,GDP จีนลดลงคาดว่า GDP อาจหดตัวลง 0.5%1% การส่งออกไปสหรัฐฯของจีนจากเดิม 435,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ปี 2567) อาจหายไป 5075% เหลือราว 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ผลกระทบต่อไทยจะเกิดใน 2 ด้านหลักคือ การขาดดุลการค้าของไทยกับจีนจะรุนแรงขึ้น จากในปีที่ผ่านมาไทยขาดดุลจีนกว่า 1.6 ล้านล้านบาท หากจีนส่งออกมาไทยเพิ่มขึ้น 30% จากผลพวงสหรัฐเก็บภาษีจีน100% คาดไทยอาจจะขาดดุลการค้าจีนสูงถึง 2 ล้านล้านบาท จากช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ ไทยขาดดุลการค้าจีนแล้ว 1.37 ล้านล้านบาท อาจพุ่งแตะ 1.7 ล้านล้านบาท ภายในสิ้นปี
หากสินค้าจีนถูกกันไม่ให้เข้าสหรัฐฯ จีนจะหันมาทุ่มตลาดในภูมิภาค ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ผลิตไทยโดยตรงจากปีนี้การส่งออกไทยน่าจะยังขยายตัวได้ได้มากกว่า 5% จากตัวเลข 8 เดือนแรกที่โต 13% แต่ปีหน้าจะหนักแน่ จากผลกระทบสหรัฐเก็บภาษีสินค้าจีน 100% และปัจจัยการเมืองในประเทศ อาจทำให้การส่งออกโตต่ำกว่า 5%
อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นจากที่สหรัฐจะขึ้นภาษีสินค้าจีน สินค้าไทยจะมีทั้งได้และเสีย โดยกลุ่มที่อาจได้รับประโยชน์ส่งออกไปสหรัฐทดแทนสินค้าจีนได้แก่ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแปรรูป
ส่วนกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบในเชิงลบ ที่ไทยอาจส่งออกไปจีนได้ลดลง เนื่องจากจีนจะมีการนำเข้าเพื่อนำไปแปรรูปส่งออกไปสหรัฐได้ลดลง ได้แก่ เคมีภัณฑ์ พลาสติก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยางพารา ชิ้นส่วนเครื่องจักรกล เป็นต้น
ไทยต้องเร่งปรับตัว รับมือสงครามการค้ารอบใหม่ แม้ไทยจะไม่ได้ถูกขึ้นภาษีโดยตรง แต่ผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อระบบการค้าจะกระทบไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ไทยควรเร่งเจาะตลาดใหม่ หาช่องทางส่งออก และพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้ทัน
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ |